วัดไตรมิตรวิทยาราม วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ เลขที่ ๖๖๑ ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร วัดไตรมิตรวิทยาราม เดิมมีพื้นที่ราบลุ่ม มีลักษณะน้ำขังได้ทั่วไป ปัจจุบันนี้ได้ทำการปรับปรุงพื้นที่ของวัดทั้งหมดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั่วทั้งภายในบริเวณวัด ทิศเหนือ จดกับถนนพระราม๔ ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์
วัดไตรมิตรวิทยาราม มีเนื้อที่ของวัดทั้งสิ้น ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๓๑ ตารางวา ปรากฎตามโฉนดที่๓๓๖๔ และมีที่สงฆ์อีก ๑ ตารางวา กับ ๑ ตารางศอก ตามโฉนดที่ ๓๕๙๑ประวัติและนามของวัด วัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นวัดโบราณสร้างเมื่อสมัยใดไม่ปรากฎหลักฐาน เดิมชื่อว่าวัดสามจีนใต้ มีคำเล่ากันว่า วัดสามจีนเดิมมีอยู่สามวัด คือ วัดสามจีนอยู่ในคลองบางอ้อด้านตรง หลังการก่อสร้างกุฎิสงฆ์ในครั้งนั้น ได้วางผังการก่อสร้างให้กุฎิอยู่เป็นแถวเป็นแนวไม่สับสนปนเป ให้มีจำนวนห้องที่อยู่อาศัยพอทั้งพระภิกษุ สามเณร และศิษย์วัด ตลอดการะทั่งให้มีห้องน้ำห้องส้วมพร้อม และได้วางกุฎิให้เพียงพอต่อพระภิกษุ ประมาณ ๗๐-๘๐ รูปเท่านั้น ฉะนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จึงได้สร้างกุฎิ เมรุสร้างหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปัจจุบันถูกรื้อถอน สร้างมณฑปใหม่ การก่อสร้างโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยกับวัดไตรมิตรวิทยารามนั้น มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกันมานาน กล่าวได้ว่า อดึตเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นบุรพาจารย์ของโรงเรียนไตรมิตร ด้วย พระสมุห์กล่อม เจ้าอธิการวัดสามจีนใต้ ผู้อุปการะ ได้รวบรวมกุลบุตรมาประชุมเล่าเรียนหนังสือไทย ตั้งเป็นโรงเรียนขึ้น ให้พระพร้อมซึ่งสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรประโยค ๒ ในชั้นต้นนี้ กรมศึกษาธิการได้อุดหนุนแบบเรียนให้ ๑จบตามธรรมเนียม โรงเรียนนี้นับว่าเป็นโรงเรียนมูลสามัญเชลยศักดิ์ ขึ้นในกรมศึกษาธิการอีกโรงเรียนหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งความอนุเคราะห์ของสมุห์กล่อม พระพร้อม และพระสอนนั้น ให้โรงเรียนนี้ จงตั้งอยู่สิ้นกาลนานเทอญฯ โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย หลังปัจจุบัน ต่อมาเมื่อ รองอำมาตย์ตรีสนิท เทวินทรภักดี ครูใหญ่โรงเรียนมัธยมวัดสามจีน ได้ปรึกษาตกลงกับท่านเจ้าอาวาสวัดสามจีน ในครั้งนั้นว่า เห็นสมควรปรับปรุงสุขลักษณะบริเวณ การเปลี่ยนนามวัด ใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้เปลี่ยนนามวัดสามจีนใต้มาเป็นวัดไตรมิตรวิทยาราม ทั้งนี้ เพื่อจะเฉลิมเกียรติคุณ ของท่านผู้แรกสร้างให้ยั่งยืนวัฒนายิ่งขึ้น และเป็นการเชิดชูอุตสาหะวิริยะของท่านผู้สร้างและคณะกรรมการปรับปรุงวัดพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถร) วัดมหาธาตุ ฯ ได้เมตตาคิดค้นนามที่เป็นมงคลมาเฉลิมเพิ่มความสง่าให้แก่วัดสามจีนใต้ โดยเปลี่ยนเป็น "วัดไตรมิตรวิทยาราม" และกรมสามัญศึกษาได้เปลี่ยนนามโรงเรียน
ถาวรวัตถุ พระอุโบสถ พระอุโบสถหลังเดิม เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน รูปทรงเป็นแบบไทยผสมศิลป์จึนหลังคาลดสามชั้นมีเสาหารโดยรอบ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี หน้าบันประดับด้วยเบญจรงค พระทศพลญาณ พระประธานในพระอุโบสถ วัดไตรมิตรวิทยาราม ต่อมาเมื่อเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ลูกระเบิดได้ลงในที่ไม่ไกลจากพระอุโบสถเท่าไรนักแรงสั่นสะเทือนของอำนาจระเบิด ทำให้พระอุโบสถทั้งหลังยากต่อการบูรณปฎิสังขรณ์
พระอุโบสถหลังปัจจุบัน พระอุโบสถหลังปัจจุบันนี้ เป็นพระอุโบสถที่ได้สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร ทรงเสด็จมาวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงวิศาลศิลปกรรม เป็นผู้ออกแบบพระอุโบสถ การก่อสร้างเป็นเฟอร์โรคอน พระวิหาร เป็นอาคารหมู่ทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ลักษณะ ๒ ชั้น กว้าง ๒๔ เมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระสุโขทัยไตรมิตร วิหารที่ประดิษฐานหลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตร (หลังเดิม)
ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารสร้างใหม่ ตัวอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น กว้าง ๑๘เมตร ยาว ๒๔ เมตร ลักษณะเป็นเพอร์โรคอนกรึต สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนแล้ว ศาลาการเปรียญ ปัจจุบันถูกรื้อถอนสร้างมณฑปใหม่ ศาลาวิสุทธิผลอุทิศ และศาลานครหลวงประกันชีวิต เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงไทยประยุกต์ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ โดยนายห้างกำธร วิสุทธิผล กุฎิสงฆ์จำนวน ๑๔ หลัง สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงไทย ๒ ชั้น ปัจจุบัน อาคารทั้งสองได้ถูกรื้อถอนแล้ว เมรุ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลัง สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ กว้าง ๑๐.๕ เมตร ยาว๒๐.๕๐ เมตร โดยชาวญี่ปุ่นรับเหมาสร้าง ปัจจุบันรื้อถอนแล้ว เมรุถูกรื้อถอนแล้ว โรงเรียนพระปริยัติกรรม เป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร เดิมสร้างเป็นอาคารทรงไทย สร้างด้วยคอนกรึตเสริมเหล็กเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ต่อมาการศึกษาได้เจริญขึ้น จึงได้สร้างขึ้นใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น เป็นอาคารทรงไทยขนาด ๘ห้องเรียน เป็น ๑๒ ห้องเรียนปัจจุบันเป็นที่ศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีสำหรับภิกษุสามเณร อาคารเรียนโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาเป็นอาคารเรียนที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งได้ทำการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๓ โดยพระเดชพระคุณ พระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เป็นประธานในพิธี อาคารเรียน โรงเรียนมหาวีรานุวัตร เป็นอาคารคอนกรีต ๓ ชั้น เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ เปิดทำการสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ปูชนียวัตถุ - พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธทศพลญาณ พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยปูนปั้นลงรักปิดทอง ประชาชนทั่วไปเรียกว่า "หลวงพ่อโม" บ้าง "หลวงพ่อวัดสามจีน" มีประชาชนมาบนบาน พระพุทธสุโขทัยไตรมิตร ประดิษฐานอยู่ที่พระมหามณฑป เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปสมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปทองคำ มีชื่อว่า "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร"
พระมหามณฑป ที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ (พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร)
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ท่ามกลางกระแสธารแห่งอารยธรรมตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ปรากฏร่องรอยหลักฐาน ความเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาอย่างไม่ขาดสาย มรดกทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์แห่งอารยธรรมไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ดังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ซึ่งทรงตรวจสอบ พระราชนิพนธ์ชิ้นนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามรุ่งเรืองในอดีตโดยเฉพาะ "สุโขทัย" อาณาจักรไทย ที่ครอบคลุมดินแดนตอนเหนือในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ร่องรอยแห่งความเจริญดังกล่าว นอกจากจะพบได้จากซากเมือง และวัดวาอารามต่าง ๆ รวมทั้งศิลปวัตถุอันตกทอดมาถึงปัจจบันที่สร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยศิลปะชั้นสูงแล้ว "พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร" หรือ "หลวงพ่อทองคำ" หรือที่มีนามซึ่งปรากฏตามพระราชทินนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙) ว่า"พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระมหามณฑปที่วัดไตรมิตรที่ได้สร้างใหม่ที่ วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงค์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย คือ อยู่ในอริยาบทนั่งสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางเหนือพระชานุ ปลายพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี ประวัติความเป็นมา แต่เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ถูกพอกปิดด้วยปูนทั่วทั้งองค์ พุทธลักษณะภายนอกไม่งดงามหรือโดดเด่นจากหลักฐานที่ประกฏพบว่าเคยประดิษฐานเห็นพระประธานในพระอุโบสถ ต่อมาวัดพระยาไกรขาดคนบูรณปฏิสังขรณ์ จึงตกอยู่ในสภาพรกร้าง ราว พ.ศ. ๒๔๗๔ บริษัทอีสเอเซียติก จำกัด ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้ ได้ขอเช่าที่จากรัฐบาล ในขณะนั้น "วัดสามจีน" ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดไตรมิตรวิทยาราม กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ทั่วทั้งพระอาราม โดยสร้างวิหารสำหรับประดิษฐาน
จากพระพุทธรูปปูนปั้น สู่ "พระพุทธรูปทองคำ" พระพุทธรูปปูนปั้นจึงถูกอัญเชิญมาตั้งแต่นั้น โดยในขณะที่ยังบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการวัดได้ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปไว้ข้างเจดีย์เป็นการช่วคราว ในระหว่างนี้ มีผู้มาขออัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดต่าง ๆ มากมายแต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ การก่อสร้างพระอาราม พระวิหารต่าง ๆ ในวัดสามจีน ใช้เวลาเนิ่นนาม จนล่วงเลยไปถึง เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธาธิบดี (ไสว ฐิตวีรมหาเถระ ป.ธ. ๗) เจ้าอาวาสซึ่งขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นพระวีรธรรมมุนี ผู้ดำเนินการสร้างวิหารที่ประดิษฐาน ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าอาวาส ได้มาตรวจดูองค์พระ เพื่อหาทางอัญเชิญขึ้นประดิษฐานใหม่ ก็ได้พบเห็นรอยแตกที่พระอุระ และเห็นรักที่ฉาบผิวองค์พระด้านใน เมื่อแกะรักออก ก็ได้พบเนื้อทองคำบริสุทธิ์งามจับตาอยู่ชั้นในสุด ท่านเจ้าอาวาสจึงสั่งการระดมผู้คนช่วยกันกะเทาะปูน และลอกรักออกหมดทั้งองค์ ความงดงามแห่งเนื้อทองบริสุทธิ์ขององค์พระปฏิมา ความยากลำบากในการเลื่อนย้ายหมดสิ้นลง เมื่อมีการคุ้ยดินใต้ฐานทับเกษตรออก และพบกุญแจแลสำหรับถอดองค์พระออกเป็นส่วน ๆ ได้ ๙ ส่วนเพื่อสะดวกต่อการอัญเชิญขึ้น พระพุทธรูปทองคำ ที่สุดของไทย ที่สุดของโลก การค้นพบพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัยของวัดไตรมิตรวิทยารามในครั้งกระนั้น ได้เป็นข่าวสำคัญอย่างอึกกะทึกครึกโครมไปทั่วทั้งประเทศ หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ หลายฉบับ ต่างก็พากันประโคมข่าวกันอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของพุทธศาสนิกชนทั่วหน้ามีการตรวจสอบและประเมินเนื้อทองขององค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ เรียกว่า พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร หรือ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร นับเป็น "พระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์ขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก" หนังสือกินเนสบุ๊ค ฉบับปี ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ได้ทำการประเมินค่าอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนค.ศ. ๒๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) และบันทึกไว้ว่า เป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าเฉพาะเนื้อทองคำสุงถึง Highest intrinsie value is the 15th-century gold Buddha in Wat trimitr Temple in Bangkok, Thailand. It is 3-04 m 10 ft tall and weights estimated 5 1/2 tonnes. At the April 1990 price of $ 227 per fine ounce, its intrinsic worth was $ 21.1 million. The gold under the plaster exterior was found only in 1954. ข้อความที่ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ กินเนสบุ๊ก ออฟ เรคคอร์ด ก่อนจะมาเป็น "พระพุทธรูปทองคำ" องค์พระพุทธรูปทองคำที่ถูกค้นพบ เป็นพุทธศิลปะสุโขทัยที่งดงามมาก ผู้เชี่ยวชาญทางพุทธปฏิมากรรมกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีความงดงามถึงจุดสุดยอด พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตรนี้ นับเป็นศิลปะแบบสลาสสิกบริบูรณ์ อันเป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุดของสกุลช่างสุโขทัย มีอายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ต่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ทองคำนับเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในสังคมสยามแต่โบราณ ในสมัยสุโขทัยนั้นจากข้อมูลทางธรณีวิทยาพบว่า มีแหล่งแร่ทองคำบริเวณลำห้วยแม่บ่อย เขตอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ซึ่งอยู่ท่างจากเมืองศรีสัชชนาลัยเพียง ๒๕ กิโลเมตรมีการค้นพบเหมืองแร่โบราณในบริเวณดังกล่าว แม้จะมีสายแร่ทองคำเนื้อทองคำเนื้อธรรมชาติไม่มากนัก แต่นับเป็นสิ่งที่ยืน ในศิลาจารึกหลักที่ ๕ วัดป่ามะม่วง กล่าวถึง การบำเพ็ญบุญของพระมหาธรรมราชา โดยทรง "กระยาทานคาบนั้นทองหมื่นหนึ่ง เงินหมื่นหนึ่ง เบี้ยสิบล้าน..." สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทองคำในสมัยนั้นในกลุ่มชนชั้นสูงโดยเฉพาะกษัตริย์ มักจะนิยมสร้างพระพุทธรูป หรือโบราณวัตถุที่สำคัญทางพุทธศาสนาจากทองคำบริสุทธิ์โดยทรง เป็นศุนย์กลางการดำเนินการ เช่น การสร้างสำเภาทองลอยพระธาตุ ดังความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารหนือ ความว่า "...เชิญพระธาตุมาถึงเมืองแล้ว พระธรรมราชาเจ้าจึงป่าวร้องแก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธา ก็เอาทองมาประมวลกันได้ ๒,๕๐๐ ตำลึงทอง ให้ช่างตีดเป็นเภาเภตรา จึงใส่พระธาตุพระพุทธเจ้าลอยอยู่ในน้ำบ่อ..." ในการสร้างพระพุทธรูปสำคัญ สังคมสุโขทัย จะใช้ลักษณะดังกล่าว และพระมหากษัตริย์ จะทรงเป็นศูนย์กลางแห่งการสร้างและใช้วิธี "ป่าวร้องแก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธา" หรือให้หัวเมืองภายใต้พระราชอำนาจส่งมอบวัตถุดิบในการจัดสร้างโดยมี "ช่างหลวง" เป็นผู้ดำเนินการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารเหนือ ความว่า " พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงรำพึงในพระทัย จะใคร่สร้างพระพุทธรูปให้แล้วด้วยสัมฤทธิ์ ครั้นพระองค์รำพึงแล้วจึงให้หาช่างได้ บาพิศณุคนหนึ่ง บาพรหมคนหนึ่ง บาธรรมราชคนหนึ่ง บาราชกุศลคนหนึ่ง ได้ช่างมาแต่เมืองสัชชนาลัย ๕ คน มาแต่หริภุญไชยคนหนึ่ง เป็นช่าง ๖ คน จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งช่างทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายให้ชวนกันมารักษาศีล ๕ ประการ อย่าได้ขาด ครั้นสั่งช่างแล้วจึงพระราชทานรางวัลแก่ไพร่ทั้งหลาย ให้ขนดินแลแกลบให้แก่ช่าง ช่างจึงประสมดินปั้นเป็นพระพุทธเจ้าสามรูปตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั้น ให้เหมือน กรรมวิธีการหล่อพระพุทธรูปในสมัยโบราณนั้น อาจแบ่งออกได้เป็น "ฝีมือช่างราษฎร์" กับ "ฝีมือช่างหลวง" ฝีมือช่างราษฎร์จะเป็นกลุ่มของชาวบ้านที่มีศรัทธาจะสร้างพระพุทธปฏิมากรรม ส่วนใหญ่มิได้เคร่งครัดในส่วนผสมของโลหะเท่าใดนัก เมื่อทราบข่าวจะมีการหลอมหล่อพระพุทธรูปมักจะนำโลหะมีค่าจากบ้านเรือนของตนมาเป็นวัตถุดิบ ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป ส่วนการหล่อโดยฝีมือช่างหลวงนั้น จะเน้นอัตราส่วนผสมของโลหะเป็นพิเศษ กรรมวิธีโดยทั่วไปคล้ายคลึงกัน หากเพิ่มความละเอียดประณี่ต โดยเริ่มจากการ "ขึ้นหุ่น" หรือ "ปั้นหุ่น" ชั้นในขององค์พระด้วยดินเหนียวผสมทราย แกลบ ตามส่วนดินที่มีมันิยมใช้เรียกว่า "ดินขี้งูเหลือม" มีสีเหลือง โดยกำหนดสัดส่วนไว้สำหรับหุ้มขี้ผึ้งอีกชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นใช้ขี้ผึ้งผสม หลังจากนั้นจะมีการติด "สายชนวนขี้ผึ้ง" เพื่อช่วยให้ทองแล่นได้ตลอด โดยต้องคำนึถึงช่องว่างที่จะเป็นส่วนให้อากาศภายในระบายออกได้ทันเมื่อเททอง ก่อนที่จะนำเอาขี้วัวละเอียดผสมกับดินนวลทาลงบนหุ่นขี้ผึ้งเพื่อให้ผิวทองเรียบงาม หลังจากนั้นใช้ดินอ่อนฉาบรักษาดินขี้วัวไว้แล้วใช้ดินที่ปั้นหุ่นองค์พระชั้นใน พอกทับอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นช่างผู้ทำการหล่อพระพุทธรูป จะทำการตรึงหมุดเหล็ก หรือ "ทวย" คือ การแทงเหล็กแหลมเข้าไปในหุ่นขี้ผึ้งให้ทะลุเข้าไปถึงชั้นใน เพื่อยึดโครงสร้างองค์พระให้แข็งแรง มิให้แตกร้าวขณะเททอง ก่อนที่จะใช้เหล็กมัดเป็นโครงหุ้มดินพอกไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่เรียกว่า "รัดปลอก" ต่อจากนั้นจะทำการพลิกเศียรพระพุทธรูปลงดิน เอาฐานองค์พระขึ้น โดยใช้นั่งร้าน ยกพื้นไม้ให้รอบสำหรับเดินเททอง ค้ำยันหุ่นด้วยเหล็กให้แน่นหนา แล้วจึงเริ่มสุมไฟเผาหุ่นไล่ขี้ผึ้ง เมื่อขี้ผึ้งละลาย หรือที่เรียกกันว่า "สำรอก" จึงเริ่มเททอง น้ำทองจะไหลลงไปแทนที่ขี้ผึ้งรอบองค์พระ โดยเดินเททองบนนั่งร้านกรอกลงไปตามสายชนวนขี้ผึ้งรอบองค์พระ โดยเดินเททองบนนั่งร้านกรอกลงไปตามสายชนวนขี้ผึ้งติดเอาไว้ก่อนแล้วนั้นช่องหรือสายชนวนนี้จะเปรียบเสมือนท่อน้ำทองให้ไหลไปทั่วองค์พระปฏิมา เมื่อเททองสมบูรณ์แล้ว จะปล่อยให้หุ่นพิมพ์เย็นลงแล้วจึงแกะดินที่ปั้นเป็นหุ่นออกให้หมด ยกองค์พระให้ตั้งขึ้นเริ่มขัดถูผิวให้เรียบตัดหมุดหรือ "ทวย" รวมทั้งสายชนวนออก หากมีตำหนิก็จะมีการนำเศษทองที่เหลือตอกย้ำให้เสมอกัน หากปรากฏเป็นช่องว่างมากก็เททองเพิ่มให้เต็มที่ เรียกว่า "เทดิบ"บางครั้งจะใช้ยาซัดโลหะตามกรรมวิธีโบราณ ในบางครั้งจะมีการลงรักปิดทองจนทั่วองค์พระ โดยใช้ "รักสมุก" คือรักผสมผงถ่านบดละเอียด ป้ายรักสมุกเข้ากับองค์พระ พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปที่เกิดจากการสร้างในลักษณะดังกล่าวโดยฝีมือ "ช่างหลวง" ที่มีฝีมือการหล่อพระถึงขั้นสุดยอด ทำให้ได้องค์พระซึ่งมีพุทธลักษณะงดงาม ทองคำแล่นบริบูรณ์ตลอดองค์ โดยใช้เนื้อทองคำธรรมชาติบริสุทธิ์ที่เรียกกันว่า ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา และแสดงให้เห็นถึงความแยบยล สามารถถอดองค์พระออกเป็นส่วน ๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากหลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบัน ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร เดิมเคยประดิษฐานที่วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย โดยมีข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ กล่าวถึง "พระพุทธรูปทอง" ความว่า"กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันงาม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม..." กลางเมืองสุโขทัยที่ปรากฏในจารึก หมายถึงวัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและสังคมของสุโขทัยในอดีต โดยเฉพาะศาสนา มีความรุ่งเรืองมาก ในสมัยพระธรรมราชาลิไท ซึ่งนักวิชาการ ในปัจจุบันสันนิษฐานว่า เป็นผู้แต่งศิลาจารีกหลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ จากข้อความในศิลาจารึกซึ่งสันนิษฐานว่า เขียนขึ้นหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น วัดมหาธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ มีพระพุทธรูปทอง พระอัฏฐารส หรือพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในหนังสือ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ความว่า "...ตรวจดูคำจารึกหลักศิลาของพระเจ้ารามคำแหง ...ดู ก็น่าจะสันนิษฐานว่า กล่าวถึง วัดมหาธาตุนี้ "พิหารมีพระพุทธรูปทอง"นั้นน่าจะเป็นวิหารหลวงซึ่งประดิษฐานพระศรีศากยมุนี..." พระศรีศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปองค์ประธานในวิหารวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดฯให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ยังวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร ในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งวิหารดังกล่าวเป็นวิหารหลวงเรียกว่าวิหารเก้าห้อง มีเสาศิลาเหลี่ยมขนาดใหญ่ค้ำเครื่องบน ซึ่งปัจจุบันปรักหักพังหมดแล้ว หากพิจารณาสภาพที่ปรากฏประกอบศิลาจารึกที่ ๑ จะพบแท่นรองพระพุทธรูปนอกเหนือจากองค์ประธาน ลดหลั่นกันไป จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธรูป นอกจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ แล้ว ยังมีหลักฐานที่กล่าวถึงพระพุทธรูปทองคำในสมัยสุโขทัยอีก เช่น ในศิลาจารึกบางหลักกล่าวการสร้างพระพุทธรูปทอง โดยพระมหาธรรมราชาลิไท หรือ ในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงด้านที่ ๓ กล่าวถึงการออกผนวชของพระองค์ ซึ่งประกอบพระราชพิธีต่อหน้าพระพุทธรูปทองคำ ดังความว่า"...พระยาศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชหากสมาทานทศศีลเป็นดาบส..หน้าพระพุทธรูปทองอันประดิษฐานไว้เหนือราชมณเฑียรอันตนแต่งเมื่อจัก ศีลนั้น พระยาศรีสุริยะพงศ์ราม(มหา) ธรรมราชาธิราชจึงจักยืนยอมือนบพระพุทธทองนบทั้งพระปิฎกไตร..." จากหลักฐานที่ปรากฏ อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ความประณีตของพุทธศิลปะ ความแยบยล สมเด็จย่าและพระพี่นางได้เสด็จมาสักการะพระทองคำ องค์พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร ถูกหุ้มห่ออยู่ในปูนเป็นระยะเวลายาวนาน อาจกล่าวได้ว่า ผู้คนสมัยรัตนโกสินทร์ ก่อน พ.ศ. ๒๔๙๘ มิได้ทราบเลยว่า ภายในพระพุทธรูป การพอกปูนปิดองค์พระสำคัญไว้ เป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของผู้คนในสังคมไทยสมัยก่อนที่ต้องการพิทักษ์ปกป้ององค์พระพุทธรูป และพุทธศาสนา ไว้จากภัยอันตรายต่าง ๆ ซึ่งจะพบเห็นชัดเจนในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ที่พม่าได้สุมไฟลอกเอาทองจากองค์พระศรีสรรเพชญไปจนหมดสิ้น ผู้คนได้พยายามปกปิดหรือเคลื่นย้ายองค์พระสำคัญ ๆ หลายต่อ สำหรับ "หลวงพ่อทองคำ" องค์นี้ มีข้อสันนิษฐานว่า การพอกปูนปิดองค์พระพุทธรูปคงจะกระทำขึ้นก่อนการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ และอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นสมัยที่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่าง ๆ มายังกรุงเทพมหานครมากกว่า ๑,๒๔๘ องค์ (หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบแปดองค์) พระพุทธรูปปูนปั้นที่หุ้มองค์หลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตรไว้ คงจะถูกอัญเชิญมาในคราวเดียวกันนี้ ซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนี สมเด็จย่าทรงพิจารณาพระเกตุมาลาของหลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปทองคำ ความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ในปัจจุบัน พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร หรือเรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า "หลวงพ่อทองคำ" ประดิษฐานอยู่ ณ มหามณฑป ที่สร้างใหม่ ที่วัดไตรมิตรวิทยาราม เลขที่ ๖๖๑ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศ ที่พากันหลั่งไหลกันเข้ามาชมความ นับเป็นความภาคภูมใจของชาวไทยทั้งประเทศ ต่อมรดกแห่งอารยธรรมไทยที่ยิ่งใหญ่งดงาม อันเป็นประจักษ์พยานถึงความรุ่งโรจน์แห่งพุทธศิลปะ ฝีมือช่าง และพลังแห่งศรัทธา
จบ มหามณฑปที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ
|