ข่าววันที่ 21 สิงหาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

ในหลวงทรงห่วงชาติล่มจม “ต่างคนต่างแย่ง ขอทุกคนต้องเสียสละ พัฒนาชาติให้ก้าวหน้า

 

            
        ในหลวง ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง ทรงมีพระราชดำรัส ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาบ้านเมือง ทรงห่วงประเทศกำลังล่มจม เพราะต่างคนทำ ต่างคนต่างแย่งชิง ไม่เข้าใจกัน ทรงแนะทุกคนต้องร่วมมือกัน ต้องเสียสละ ขอให้ผู้มีความรู้พาบ้านเมืองรอดพ้นภัย สร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง      

        เมื่อ เวลา 18.08 น. วันที่ 21 ส.ค.52 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี นำนายอานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และคณะจำนวน 23 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสิทธิบัตรฝนหลวงซึ่งออกโดยสำนักสิทธิบัตรของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป จำนวน 10 ประเทศ กับสิทธิบัตรฝนหลวง ซึ่งออกโดยสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายจดหมายเหตุสิทธิบัตรฝนหลวง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจัดทำขึ้นโดยรวบรวมการดำเนินการจด ทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวง ระหว่างปี พ.ศ. 2545 - 2550พร้อมทั้งขอพระราชทานพระราชดำริเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงาน
        สิทธิ บัตรฝนหลวง ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายครั้งนี้ สืบเนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำเนินการขอรับสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนิน การ และได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวงในพระปรมาภิไธย ต่อสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปในชื่อเรื่อง Weather Modification by Royal Rainmaking Technology ซึ่งสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิบัตรนี้แล้ว โดยสิทธิบัตรดังกล่าว มีผลคุ้มครองครอบคลุมประเทศต่างๆ ในกลุ่มสหภาพยุโรป จำนวน 30 ประเทศ แต่มี 10 ประเทศ ที่ออกเป็นสิทธิบัตรแยกแต่ละประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐไซปรัส ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สาธารณรัฐฝรั่งเศส สาธารณรัฐเฮเลนิค ราชรัฐโมร็อกโก ประเทศโรมาเนีย สาธารณรัฐตุรกี สาธารณรัฐแอลแบเนีย สาธารณรัฐลิทัวเนีย และประเทศมาซิโดเนีย
        สำหรับ สิทธิบัตรที่ออกโดยสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้รับการขยายความคุ้มครองมาจากสิทธิบัตรของสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปเช่นกัน
        ใน โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสให้ตระหนักถึงความสำคัญของการร่วมมือในการปฎิบัติกิจการงาน ต่างๆ ไม่เอาเปรียบกัน อันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
        หลัก ของการร่วมมือกัน เป็นการที่ใช้ได้ ใช้การได้ ถ้าไม่ใช้การสิทธิบัตรก็ไม่ได้ร่วมมือกัน แต่นี่ร่วมมือกันด้วยดี ร่วมมือจนกระทั่งในท้องที่นั้น จะเห็นได้ว่าทุกคนมีความสามัคคีช่วยกันทำ แล้วถ้าทำต่อเนื่องก็เชื่อว่าในบริเวณนั้นจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างดี พวกท่านที่มาในวันนี้ก็ถือว่าเป็นนิมิตรที่ดีสำหรับประเทศ เพราะว่าประเทศต้องการการพัฒนา และพัฒนามาขึ้นขั้นสูงแล้ว ถ้าทำต่อไปก็เชื่อว่าประเทศจะมีความเจริญ
        ความ เจริญจะมาถึงด้วยการใช้ทรัพยากรของประเทศซึ่งมีอยู่ แต่ก่อนไม่เคยนึกว่าจะสามารถทำ ข้าพเจ้าไม่เคยนึกว่าจะทำได้อย่างนี้ แต่นี่ทำได้เพราะว่าประชาชนร่วมมือกัน ทางราชการทุกส่วนได้ร่วมมือกัน ซึ่งมหัศจรรย์จริงๆ ก็เลยอยากจะบอกกับท่านว่า งานที่ท่านทำนั้นดีมาก ที่ท่านร่วมมือกัน แล้วก็จะไม่มีวันถอย ประเทศชาตจิจะเจริญรุ่งเรือง
        ข้าพเจ้า ไม่รู้จะบอกอะไรว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์ ถ้าบอกกันไปแล้วว่า ทุกคนตั้งใจจะทำ ก็ได้ทำให้เกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นได้เพราะการร่วมมือของแต่ละคนที่อยู่ในท้องที่ ไม่ใช่ของคน แต่ทุกคนที่ร่วมมือกัน
        ที่ บอกว่ามหัศจรรย์อาจจะดูเกินไป แต่ความจริงเป็นมหัศจรรย์จริงๆ คนที่ไปดูสมัยก่อนว่าเริ่มต้นไม่มีอะไรเลย แต่ว่าต่อมาก็ภายในวันเดียวทุกคนที่อยู่ในท้องที่นั้นก็เข้าใจว่าต้องช่วย กัน และในระยะนี้เราต้องร่วมมือกัน ถ้าไม่มีการร่วมมือกันก็ไม่ก้าวหน้า ฉะนั้นการที่ท่านได้ทำแล้วก็มีความก้าวหน้านี้นั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก
        หลัก การก็อยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกัน เสียสละเพื่อให้กิจการในท้องที่ก้าวหน้าไปด้วยดี ก้าวหน้าไปได้อย่างไรก็ด้วยการช่วยเหลือกัน แต่ก่อนเคยเห็นว่ากิจการที่ทำก็มีคนกลุ่มหนึ่งทำแล้วก็ทำให้ก้าวหน้า แต่อันนี้ไม่ใช่กลุ่มหนึ่ง ทั้งหมด ร่วมกันทำแล้วก็มีความก้าวหน้าแน่นอน กลุ่มคนที่มีความรู้กลุ่มหนึ่งมาช่วยกันทำ ทั้งนักวิชาการ ทั้งผู้ที่รู้ มาช่วยกันทำด้วยความตั้งใจ ทำให้เกิดผล สิ่งที่ทำนี้จะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้า ซึ่งบ้านเมืองทำได้ยากถ้าไม่ช่วยกัน
        สิ่ง ที่เกิดขึ้นมาโดยยาก เพราะว่าข้าพเจ้าได้เห็นมานานแล้วว่า การทำความก้าวหน้านั้นไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากถ้าทำความก้าวหน้าต้องมีคนที่มีความรู้มีคนที่มีทุน เราไม่มีทุนอะไร แต่ถ้าทำได้ ตั้งใจทำ เอาความรู้แต่ละคนนำมาใช้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ทางกระทรวงมหาดไทย ทางกระทรวงอื่นๆ ทางประชาชนมาร่วมมือกัน โดยไม่นึกเอาเปรียบกันอันนี้สำคัญที่สุด เชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าดี บ้านเมืองจะสามารถพัฒนาขึ้นมาดี
        โดย เฉพาะในระยะนี้บ้านเมืองของเรา คนของเราเรียกว่าบ้านเมืองกำลังล่มจม ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร เราก็รู้สึกเป็นห่วงว่า ประเทศไทยกำลังล่มจม แต่พวกท่านจะทำให้ไม่จมได้ ซึ่งต้องมีการพัฒนาสร้างให้ดีขึ้น การพัฒนาคือการสร้างให้ดีขึ้น สร้างบ้าน เมืองให้ก้าวหน้า ประชาชนมีความเจริญ
        ที่ เล่าให้ท่านฟังเพราะว่า เราก็มีความหวัง มีความรู้สึกว่า บ้านเมืองจะไม่ล่มจม ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมา รู้สึกว่า บ้านเมืองของเรากำลังล่มจม เพราะว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร แต่ตอนนี้เข้าใจ เพราะว่าทุกคนกำลังทำ โดยเฉพาะอาศัยผู้มีความรู้อย่างท่านทั้งหลายทีได้มาร่วมมือกัน ท่านก็มีความรู้ต่างๆ กัน           
ขอ ยืนยันว่า ถ้าทุกคนที่มีความรู้ มีความตั้งใจดี สามารถที่จะสร้างบ้านเมืองให้เจริญ เจริญโดยแท้จริง และขอให้ท่านช่วยกันทำ เพราะถ้าท่านไม่ช่วยกันทำ บ้านเมืองก็จะล่มจมจริงๆ อย่างนี้บ้านเมืองไม่ล่มจมแน่ ถ้าตั้งใจทำดีๆ บ้านเมืองจะก้าวหน้า ไม่ล่มจม

วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11492 มติชนรายวัน


พระราชดำรัสในหลวง ไม่สามัคคี-บ้านเมืองล่มจม

โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่



พสกนิกร ชาวไทยไม่ว่าจะอยู่สีไหน (สีเหลือง สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน) รวมถึงนักวิชาการระดับอธิการบดีไม่ว่าจะอยู่สถาบันใด มีแนวคิดทางการเมืองอย่างไร ตลอดทั้งเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลายตั้งแต่ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่าปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ที่ได้แสดงออกต่างๆ นานาตามความคิด ความเชื่อและความเข้าใจต่อสถานการณ์ "วิกฤตทางการเมือง" แต่ละคนรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังและได้อ่านพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ล่าสุด ที่ว่า "ระยะนี้...บ้านเมืองกำลังล่มจม"

และคิดออกไหม ทำอย่างไรถึงจะกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากความล่มจมขึ้นมาได้

พระ ราชดำรัสดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ในฐานะผู้แทนพระองค์ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวง ซึ่งนำนายอานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตรฝนหลวงที่ออกโดยสำนักสิทธิของประเทศในกลุ่มสหภาพ ยุโรปและสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง 11 ประเทศ พร้อมทูลเกล้าฯถวายจดหมายเหตุสิทธิบัตรฝนหลวง โดยคณกรรมการวิจัยแห่งชาติจัดทำขึ้น

ขออัญเชิญพระราชดำรัสเพื่อให้ผู้ที่เอ่ยถึงในตอนต้นและคนไทยทุกคนได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมกันอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

"ข้าพเจ้า ได้ยินมานานแล้วว่า การทำงานนั้นไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากความก้าวหน้าจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้ ความรอบรู้ ตั้งใจทำ โดยนำความรู้ของแต่ละภาคส่วนมาใช้ อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่นๆ รวมทั้งประชาชนมาร่วมมือกัน โดยไม่มีใครเอาเปรียบกัน อันนี้สำคัญที่สุด เราเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าดี บ้านเมืองจะสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ดี

โดย เฉพาะระยะนี้ บ้านเมืองของเรา เรียกว่าบ้านเมืองกำลังล่มจม ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไปอย่างไร เราก็รู้สึกเป็นห่วงว่าประเทศไทยกำลังล่ม แต่พวกท่านจะทำให้ไม่จมได้ ซึ่งต้องมีการพัฒนา สร้างให้ดีขึ้น สร้างบ้านเมืองให้ก้าวหน้า ประชาชนมีความเจริญ เราก็มีความหวัง มีความรู้สึกว่าบ้านเมืองจะไม่ล่มจม เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าบ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร แต่ตอนนี้โชคดีที่มีผู้มีความรู้ต่างๆ กัน มาร่วมมือกัน บัดนี้ ขอยืนยันว่าถ้าทุกคน ที่มีความรู้ ความตั้งใจก็จะสามารถสร้างให้บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง ขอให้ท่านจงช่วยกันทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง"

สถานการณ์บ้านเมือง ยามนี้ เกิดการแตกแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่า ใช้สีเป็นเครื่องหมายแทนความคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง ข้าราชการตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองอ้างว่าทำตามหน้าที่ อ้างว่ากฎหมายให้อำนาจ แท้จริงก็ทำตามคำสั่งของนักการเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชาในฐานะเป็นรัฐบาล เหตุการณ์รุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าในรอบเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ประจานตัวเองให้เป็นที่อับอายขายหน้าชาวโลก ว่าคนไทยแตกความสามัคคีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

พูดถึงความขัดแย้ง แตกแยก ไร้ซึ่งความสามัคคี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นองค์ประมุขได้มีพระราชดำรัสมาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องด้วย พระองค์ทรงเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ จึงขออัญเชิญพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงบางตอนมาบันทึกเพื่อเตือน สติคนไทย ดังนี้

"ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมา ว่าชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัตประหารซึ่งกันและกัน...." (กระแสพระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2494)

"...ในการนี้ ความสามัคคีประนีประนอมซึ่งกันและกันเป็นสิ่งจำเป็นและพึงปรารถนายิ่งนัก ข้าพเจ้าขอแสดงความหวังว่าชาวไทยทุกๆ คน คงจะพยายามรักษาความสามัคคีกลมเกลียวกันดังว่านั้น..." (กระแสพระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2501)

"ภาระในการ บริหารนั้นจะประสบผลด้วยดี ย่อมต้องอาศัยความรักชาติ ความซื่อสัตย์สุจริต ความสมัครสมานกลมเกลียว ประกอบกับความร่วมมือของประชาชนพลเมืองทั่วไปข้าพเจ้าจึงหวังว่าท่านทั้ง หลายคงจะพยายามปฏิบัติกรณียกิจในส่วนของแต่ละท่านด้วยใจบริสุทธิ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ เพื่อได้มาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนทั่วไป อันเป็นยอดปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น.." (กระแสพระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2502)

"..เหตุการณ์ ของโลกและภูมิภาคใกล้เคียงกันกับเรา ยังมีสภาพที่น่าวิตกอย่างยิ่งอยู่ การที่ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นแก่ประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีภัยคุกคามอยู่รอบด้านนี้ ก็เพราะเรายังสามารถรักษาความเป็นปึกแผ่นและความสงบภายในไว้ได้ ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความประมาท ขอให้มีความสามัคคีกลมเกลียวกันทุกฝ่าย มีความหนักแน่นและรอบคอบในการตัดสินเหตุการณ์ต่างๆ..." (กระแสพระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2508)

"..กิจเฉพาะ หน้าของเราทั้งหลายทุกคนที่จะต้องทำ ก็คือ ต้องรับสถานการณ์อันวิกฤตนี้ด้วยใจอันมั่นคง ไม่หวั่นไหวและด้วยความรู้เท่าถึงการณ์ พร้อมกับร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบา ด้วยความสงบและพร้อมเพรียง ไม่ก่อความวุ่นวายให้สถานการณ์ยิ่งร้ายลงไปอีก ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเข้าใจในกันและกัน เห็นใจกัน เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ร่วมกันอุ้มชูกันไว้ เหมือนดังที่ได้เคยอุ้มชูกันมาแต่กาลก่อนเมื่อรวมกันดังนี้ ก็จะเกิดพลังยิ่งใหญ่ ที่จะสามารถขจัดอุปสรรคขัดขวางทั้งปวงให้หมดสิ้นไปได้ในที่สุด.." (พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นป่ใหม่ 2517 ณ พลับพลาท้องสนามหลวง วันที่ 31 ตุลาคม 2516 หลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516)

"..ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือ การทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป โดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตา ด้วยความปรองดองกันและด้วยความปรารถนาดีต่อกัน..." (พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2520-หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519)

"..เวลานี้ บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัวและความขัดแย้งในสิ่งที่มิใช่สาระลง ต้องหันหน้าปรึกษากันด้วยความรู้คิด ด้วยความเป็นญาติเป็นมิตร และเป็นไทยด้วยกัน ...." (พระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543 วันที่ 31 ธันวาคม 2542

จากพระราชดำรัสที่ อัญเชิญมานี้ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนสติให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน มีความสามัคคี อะไรที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (ไม่เป็นสาระ) ก็ให้ตัดๆ ทิ้งไปเสีย แล้วร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด

ต้อง ยอมรับว่าบ้านเมืองของเราอยู่รอดปลอดภัยมาถึงวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหลักชัยและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุก หมู่เหล่า แต่การขัดแย้ง แตกแยกไร้ซึ่งความรัก ความสามัคคีของคนไทยที่ร้าวลึกมากขึ้นทุกทีซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นสภาวะ ที่น่าวิตกอย่างยิ่ง แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังถึงกับมีพระราชดำรัสว่า "บ้านเมืองกำลังล่มจม"

 
 

                 <กลับหน้าแรก>>                             

Free Web Hosting